นีล ลายเฟอร์ ช่างกล้องผู้อยู่เบื้องหลังภาพถ่ายกีฬาดีที่สุดในรอบ 100 ปี

มูฮัมหมัด อาลี กำลังยืนคร่อมใครสักคนที่นอนหมดสภาพอยู่บนเวที ปากของเขากำลังคำรามด้วยความสะใจ รูปนี้ถือเป็นรูปที่มีคนจดจำได้มากที่สุดในวงการกีฬา และถูกยกย่องให้เป็นภาพถ่ายเกี่ยวกับกีฬาที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์

องค์ประกอบภาพที่ครบถ้วน อารมณ์ของภาพที่สื่อออกมาได้ชัดเจนจนไม่ต้องแปลความหลายรอบ … นี่ไม่ใช่การจัดฉาก มันเป็นการชกกันจริง ๆ ในไฟต์ชิงแชมป์โลกรุ่นเฮฟวี่เวตระหว่าง อาลี กับ ซอนนี่ ลิสตัน 

ภาพที่ใช้เวลาแค่ 0.1 วินาทีในการลั่นชัตเตอร์ ที่มีเบื้องหลังจากการทำงานหนักของช่างภาพคนหนึ่งผู้บันทึกวินาทีประวัติศาสตร์นั้นได้  ที่มาและที่ไปของภาพใบนี้เป็นเช่นไร

ติดตามได้ที่ Main Stand

การเจอกันของคลื่นสองลูก

ย้อนกลับไปในยุค 60s ช่วงเวลานั้น ซอนนี่ ลิสตัน นักชกอเมริกันผิวดำคือสุดยอดมวยแบบที่ทั้งโลกยกให้เป็นมวยที่สุดแสนจะครบเครื่อง หนักหน่วง รวดเร็ว และบึกบึน เรียกได้ว่าเป็นชายผู้มีส่วนผสมของคุณสมบัติของแชมป์โลกอย่างแท้จริง และแน่นอน เข็มขัดแชมป์โลกรุ่นเฮฟวี่เวตนั้นอยู่ที่เขา


Photo : newseum.org

ขณะที่ มูฮัมหมัด อาลี ณ เวลานั้นยังใช้ชื่อเดิมคือ แคสเซียส เคลย์ นักมวยดาวรุ่งพุ่งกระฉูด ขึ้นชกอาชีพไฟต์แรกเมื่อปี 1960 หลังคว้าเหรียญทองโอลิมปิก และไม่เคยแพ้ใครเลยมาตลอด 4 ปี เก็บคู่แข่งเรียบด้วยการน็อคเอาต์ถึง 75% (ชก 20 ไฟต์ ชนะ 20 ไฟต์, น็อคเอาต์ 17 ครั้ง) ทุกอย่างดีหมด ติดอย่างเดียว … ไม่มีแชมป์โลกคาดที่เอวเหมือนกับ ลิสตัน

ในขณะที่ทั้งโลกเริ่มสงสัย ถ้า 2 คนนี้มาเจอกันใครจะเป็นผู้ชนะ ศึกสดบดเก๋าครั้งนี้ มีแฟนมวยเรียกร้องมาอย่างยาวนาน มันเปรียบได้กับการเจอกันของคลื่นสองลูก หมัดเก๋าเจ้าสังเวียนอย่าง ลิสตัน ปะทะกับ ดาวดวงใหม่ใส่ไม่ยั้งอย่าง เคลย์ นั่นเอง

สิ่งที่ทำให้ไฟต์นั้นมันสนุกและเป็นไฟต์ที่แฟนมวยรอคอย คือ เคลย์ ดันเป็นนักมวยที่ปากดีสุดขีด ไร้ซึ่งสัมมาคารวะ ไม่มีการเคารพแชมป์เก่าใด ๆ ทั้งสิ้น เขามั่นใจมากว่า ลิสตัน จะต้องจมดินถ้าเจอกับมวยสมัยใหม่อย่างเขา นั่นทำให้ เคลย์ พูดจายั่วยุ ลิสตัน เสมอ 

“แชมป์โลกอะไรหน้าทุเรศแบบนั้น ถ้าหล่ออย่างผมล่ะว่าไปอย่าง” อาลี ว่าเช่นนั้น ก่อนจะต่อด้วยการยั่วยุอีกไม่รู้จบ

“ไอ้ลิสตันนี่มันอย่างกับหมีอัปลักษณ์ มันมีดีแค่ตัวใหญ่อย่างเดียว ไม่มีฝีมือห่าอะไรหรอก พูดจาเท่ ๆ ก็ไม่เป็น ให้ขึ้นชกก็ไม่ได้เรื่อง ผมว่ามันควรไปเข้าคอร์สเรียนการสนทนาใหม่ แล้วก็ไปหายิมดี ๆ ฝึกฝีมือให้มากกว่านี้หน่อย รับรองเถอะถ้าได้ชกกับผม ไอ้หมอนี่มันจะต้องรู้ซึ้งเลยว่าสิ่งที่มันเคยรู้มาคือบทเรียนที่มั่วซั่วที่สุดเลย”  


Photo : holdenluntz.com

ส่วน ลิสตัน ไม่ได้สนใจอะไรมากมายนัก แชมป์อย่างเขาเก่งจริงไม่ได้ยกเมฆ มวยบุกขวัญใจคนดู และมักใช้หมัดตอบแทนการแทรชทอล์คเสมอ ซึ่งก่อนไฟต์นั้นจะเริ่มขึ้น เขาบอกกับ เคลย์ ผ่านสื่อเพียงประโยคสั้น ๆ ว่า 

“ไอ้เด็กน้อยคนนี้คือผู้ถือเงินล้านมามอบให้ผม สิ่งเดียวที่ผมภาวนา คือขอให้เขาอย่าเป็นอะไรไปเสียก่อนที่วันชกจะมาถึง” ลิสตัน ตอบกลับแบบแชมเปี้ยน

ขณะที่สื่อต่าง ๆ คาดการณ์กันว่า ลิสตัน ที่ป้องกันแชมป์โลกมาแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง คว่ำคนดังและโคตรมวยเฮฟวี่เวตในยุค 60s อีก 1 คนอย่าง ฟลอยด์ แพทเทอร์สัน มาอีก 2 หน จะสามารถน็อกเอาต์ แคสเซียส เคลย์ ได้ภายในเวลาไม่เกิน 3 ยก … 

“หากใครในโลกนี้บอกว่า ไมค์ ไทสัน มีดวงตาของนักฆ่า ผมอยากจะบอกว่า ซอนนี่ ลิสตัน คือยิ่งกว่านั้น เขามีสายตาที่ดุร้ายและทำให้คุณรู้สึกว่าชายคนนี้ไร้ซึ่งจุดอ่อน … ผมไม่สนว่าคุณจะเก่งมาจากไหน แต่ถ้าคุณอยู่ต่อหน้า ลิสตัน และถูกเขาจ้องด้วยสายตานั้น รับรอง ตัวคุณจะหดจิ๋วเหลือแค่ 2 ฟุตชัวร์ป๊าด” นี่คือสิ่งที่ แฮโรลด์ คอนราด โปโมเตอร์ในยุคที่ ไมค์ ไทสัน กำลังดังในช่วงปลายยุค 80s ว่าถึงความโหดของ ลิสตัน … นั่นแหละที่ทำให้ไฟต์นี้มันน่าดู

หมอนี่เก่งเกินไป

อย่างไรก็ตามการเจอกันในปี 1964 เคลย์ ได้แสดงตัวตนของเขาชัดเจนมากเมื่อเหยียบเวที “ข้าไม่ได้เก่งแต่ปาก แต่ข้าจะฟาดปากแกให้ดู” เพราะเขานั้นพริ้วเกินคาด ไม่ว่าจะด้วยอายุหรืออะไรก็แล้วแต่ ลิสตัน เสียเชิงมวยในการดวลกับเคลย์ครั้งนั้นโดยแท้จริง 


Photo : madison.com

เคลย์ มีฟุตเวิร์กที่คล่องแคล่วดั่งที่ถูกตั้งฉายาว่า “พริ้วเหมือนผีเสื้อ ต่อยเจ็บเหมือนผึ้ง” ขณะที่ ลิสตัน เองก็ได้รับรู้ว้า เวลาลงจากที่สูงของเขามาถึงแล้วด้วยนักมวยรุ่นน้องคนนี้ ลิสตัน ต่อยไม่โดน จนต้องเปลี่ยนวิธีการสู้ในยกต่อ ๆ มาเพื่อเป็นฝ่ายตั้งเกมรับบ้าง ปล่อยหมัดให้น้อยลง และใช้การดักชกแทน แต่ดูเหมือนว่ามันไม่มีผลอะไร อาลี ในช่วงเวลาที่พีกที่สุด แม้จะโดนชกบ้าง แต่ก็ยังเหนือชั้นและกลายเป็นฝ่ายคุมเกม จนราคาบ่อนพนันต้องปรับให้เขาเปลี่ยนจากมวยรองมาเป็นมวยต่อระหว่างไฟต์เลยทีเดียว

ลิสตัน มีอาการหอบ และเริ่มเจ็บสะสมที่ไหล่ขวา อาจจะเกิดจากการชกวืดมากเกินไป หรืออาจจะเกิดจากการโดนอาลีกระทุ้งหมัดใส่ตลอด 6 ยก ? … ไม่มีใครรู้ แต่ที่แน่ ๆ ก่อนที่ระฆังยกที่ 7 จะดังขึ้น ฝั่งพี่เลี้ยงของ ลิสตัน ก็เลือกที่จะโยนผ้าขาวเพื่อยอมแพ้ โดยให้เหตุผลว่า ลิสตัน เจ็บไหล่จนไม่สามารถสู้ต่อได้ 

นั่นคือการแพ้ครั้งแรกของ ลิสตัน นักฆ่าบนสังเวียน … เดิมทีเขาเป็นคนอารมณ์ร้อน มีปัญหาในการควบคุมมัน จนถึงขั้นที่เคยมีคดีอาชญากรรมติดตัว ทั้งการทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือการใช้ความรุนแรงอื่น ๆ ซึ่งการแพ้ครั้งแรกในชีวิตอาจจะไปปลุกสัญชาติญาณบางอย่างในตัวของเขาขึ้นมา จากนั้น ลิสตัน ก็จมอยู่กับความแค้นที่พ่ายให้กับ เคลย์ จนนับวันรอการล้างแค้นแบบอดใจไม่ไหว … ทว่าน่าเสียดายที่ความแค้นนั้นมันกัดกินเขามากเกินไป

ลิสตัน ไม่ได้ซ้อมหนักอย่างเก่า ใครหลายคนบอกว่าเขาเปลี่ยนไป เก็บตัวเงียบ ดื่มเหล้ามากขึ้น และกลายเป็นคนที่ไม่ค่อยพบปะกับใครเหมือนแต่ก่อน จะเรียกว่า ลิสตัน มาถึงขาลงก็คงไม่ผิดนัก

ขณะที่ เคลย์ หลังจากได้เข็มขัดแชมป์โลกก็ดังเป็นพลุแตก เขาประกาศให้โลกรู้ว่า “หมอนี่มันของจริง” พูดแบบไหน ทำได้แบบนั้น และหลังจากไฟต์นั้น เจ้าตัวก็เข้าศาสนาอิสลาม และได้ชื่อใหม่กลายเป็น มูฮัมหมัด อาลี ซึ่งใช้กระทั่งวันสุดท้ายของชีวิต 

หลังจากนั้น 1 ปี ช่วงเวลาที่ทุกคนรอคอย ก็มาถึง ลิสตัน ได้กลับมาชกกับ อาลี อีกครั้ง แต่เปลี่ยนสถานะจากแชมเปี้ยนเป็นผู้ท้าชิง ซึ่งเมื่อขึ้นเวทีก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ลิสตัน มาในสภาพที่แย่มากกว่า 1 ปีที่แล้วเยอะ ขณะที่ อาลี ก็เก่งกาจปราดเปรียวยิ่งกว่าเดิม 

Photo : alphauniverse.com

จากที่ ลิสตัน เคยสู้ได้ 6 ยก หนนี้ ลิสตัน ถูกปิดเกมภายในเวลาไม่ถึง 3 นาที … อ่านมาถึงตรงนี้ดูเหมือน อาลี น่าจะเป็นฝ่ายรีบชกให้จบเรื่องจนเดินใส่ตั้งแต่วินาทีแรกใช่ไหม ? … เปล่าเลย ลิสตัน ต่างหากที่เดินชกแบบมุทะลุ และครั้งนี้เขาต่อยอาลีไม่โดนไม่แต่หมัดเดียว กลับกัน หมัดของ อาลี ที่ส่งเขาไปนอนนับ 10 นั้น เป็นเพียงหมัดแรกของ “แบล็ค ซูเปอร์แมน” เท่านั้น …. เปรี้ยงเดียวดับ แสดงถึงความห่างชั้นได้อย่างชัดเจนที่สุดแล้ว

ขณะที่ ลิสตัน ล้มลงกับพื้น อาลี ตะโกนโหวกเหวกด้วยสีหน้าสะใจที่สุดในชีวิต ในช่วงเวลานั้นเพียงเสี้ยววินาที หากคุณเปิดคลิปวีดีโอในไฟต์นั้นคุณจะพบว่า อาลี ยกกำปั้นเอียงมุม 90 องศา ถึงปลายคางของตัวเอง ซึ่งเป็นช่วงเวลาแค่กะพริบตาก็พลาดได้ … แต่มันกลับมีเสียง “แชะ” ที่เก็บภาพเหตุการณ์วินาทีนั้นไว้ได้พอดิบพอดี โดยช่างภาพที่ชื่อว่า นีล ลายเฟอร์ 

แชะนั้นเปลี่ยนชีวิตของ นีล ลายเฟอร์ ไปโดยปริยาย เพราะเมื่อเขาล้างรูปนั้นออกมา ภาพนั้นกลับเป็นภาพที่สมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่เขาเคยถ่ายมา

มันสมบูรณ์แบบจนเหมือนเป็นการจัดฉากถ่ายในสตูดิโอ และเมื่อเขาเผยแพร่ภาพนี้ … มันถูกเรียกว่า “ภาพถ่ายกีฬาที่ดีที่สุดตลอดกาล” ภาพที่ใช้เวลาแค่ 0.1 วินาทีในการลั่นชัตเตอร์ ที่มีเบื้องหลังจากการทำงานหนักของช่างภาพคนหนึ่งผู้บันทึกวินาทีประวัติศาสตร์นั้นได้

กว่าจะเป็นภาพแห่งตำนาน

มูฮัมหมัด อาลี กำลังยืนคร่อมใครสักคนที่นอนหมดสภาพอยู่บนเวที ปากของเขากำลังคำรามด้วยความสะใจ หมัดขวาของเขาทำมุมสมมาตรกับรูปพอดีเป๊ะ และ นีล ลายเฟอร์ เป็นช่างภาพคนเดียวในวันนั้นที่เก็บวินาทีสำคัญได้


Photo : twitter.com/timelesssports

งานของ ลายเฟอร์ ภาพนั้น กลายเป็นการอัพราคาของเขาครั้งใหญ่ เดิมทีเขาเป็นช่างภาพมือดี รับหน้าที่ถ่ายภาพปกของนิตยสารดังระดับโลกอย่าง People, Time และ Sports Illustrated แต่กว่าจะเก่งได้ขนาดนี้ เขาต้องทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อให้แลกมากับ 0.1 วินาทีนั้น 

“ผมเป็นเด็กขยันเรียน พ่อแม่ของผมเป็นชาวยิวและปลูกฝังให้ผมตั้งใจเรียนหนังสือ พวกเขาคิดว่าผมควรจะเป็นหมอหรือทนายความ ผมมีจุดเริ่มต้นมาจากเรื่องเหล่านั้น ไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีช่างภาพด้านกีฬาโดยเฉพาะ ผมไม่ได้ทำงานด้านช่างภาพแต่แรก เพียงแต่ผมเป็นคนที่ชอบพกกล้องไปดูเกมของทีท บรูคลิน ดอดเจอร์ส (ทีมเบสบอล – ปัจจุบันคือ ลอส แอนเจลิส ดอดเจอร์ส) ผมคิดว่ามันเป็นแค่งานอดิเรก แต่วันหนึ่งผมกลับรู้สึกว่าอาชีพนี้มันจะหาเลี้ยงชีพได้ ผมจึงตั้งใจทำมันอย่างจริงจัง” 

“ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นตากล้องตามถ่ายการแข่งขันกีฬาเลยสักครั้ง ผมคิดเสมอว่าผมเป็นคนที่ทำหน้าที่คอยบันทึกภาพข่าวและเหตุการณ์สำคัญของโลก” นีล แนะนำตัวเอง 

การเก็บภาพของ ลิสตัน ที่ตัวกระแทกพื้นโดยมี อาลี ยืนคร่อมอยู่นั้น ไม่ใช่เรื่องฟลุค หลายคนอาจจะบอกว่าเขาโชคดีที่นั่งอยู่ถูกตำแหน่ง แต่ความจริงก็คือ นีล เป็นตากล้องที่ตามถ่ายไฟต์ต่าง ๆ ของ อาลี มาตั้งนานแล้ว ไม่ใช่แค่ไฟต์นี้ เขาดูอาลีมาไม่ต่ำกว่า 10 ไฟต์ เห็นลีลาท่วงท่ามาก็เยอะ เขาดูมาเยอะจนพอจะ “คาดเดา” ได้ว่า ช่วงเวลาต่อจากนี้ อาลี จะทำอะไร … เห็นได้ชัดว่ามันเกิดจากเรียนรู้และการเตรียมการที่ดี 

“ผมไม่เถียงหรอกว่าผมเลือกที่นั่งได้ดี แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าการนั่งถูกที่คือ ผมไม่ปล่อยให้ไฟต์นั้นคลาดสายตาเลยแม้แต่วินาทีเดียว”

“หากคุณถามว่าสิ่งใดกันแน่ที่แยกตากล้องชั้นนำ ออกจากตากล้องที่ถ่ายภาพออกมาสวย ผมคิดว่าคำตอบคือ คุณต้องโชคดี … และช่างภาพมือฉมังจะไม่ปล่อยให้โชคดีนั้นหลุดมือไป … พวกเขาจะไม่พลาดช็อตสำคัญเปลี่ยนโลกนั้นอย่างแน่นอน” เขาอธิบายถึงการเก็บภาพตำนานภาพนั้น 

จะตั้งใจหรือไม่ไม่มีใครรู้ แต่นักเขียนและตากล้องดังอย่าง มาติน คานินสกี้ จากเว็บไซต์ Petapixel ที่เป็นเว็บไซต์เกี่ยวกับการสอนถ่ายรูปและเทคนิคต่าง ๆ บอกว่าทำไมภาพถ่ายของ นีล จึงออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด โดยไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นการถ่ายภาพเหตุการณ์ มากกว่าการสแน็ปภาพจากกองถ่าย หรือแม้กระทั่งการเซ็ตฉากในสตูดิโอ


Photo : pressdemocrat.com

“ผมไม่รู้ว่า นีล ตั้งใจหรือไม่ แต่เขาเลือกวินาทีที่ลั่นชัตเตอร์ได้ดีมาก ช่วงเวลาที่เขา แชะ ! แขนของ อาลี ทำมุม 90 องศา … ซึ่งมันดีกว่าตอนที่แขนของเขาตกและเป็นการวาดเส้นโค้งแบบตัว S เพราะ 90 องศา ของ อาลี หมายถึงสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่ง ทักษะการจัดองค์ประกอบแบบนี้ไม่ใช่แค่ใช้ในการถ่ายภาพเท่านั้น แต่คุณไปดูในการแข่งขันเพาะกายก็ได้ 90 องศา คือการทำมุมของแขนที่นักเพาะกายชอบโพสต์ท่าที่สุด มันทำให้พวกเขาดูมีกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่งมากกว่าเดิม”

“ฟันธงได้เลยว่า ภาพ ๆ นี้ทำให้ มูฮัมหมัด อาลี ดูแข็งแกร่งยิ่งกว่าตัวตนจริง ๆ ของเขา เขาเป็นมนุษย์คนหนึ่ง แต่ภาพถ่ายทีได้องค์ประกอบนั้น ช่วยให้เขาดูเหมือนกับ ซูเปอร์ฮีโร่” มาร์ติน เริ่มวิเคราะห์ภาพถ่ายโดย นีล 

แชะเดียวได้ท่าที่สมบูรณ์แบบยังไม่พอ … นีล ลายเฟอร์ ยังทำการบ้านมาดียิ่งกว่านั้น เขาเล่าให้กับสื่ออย่าง Sports Illustrated ฟังว่า เวทีที่ใช้ชกวันนั้นเต็มไปด้วยควันหนาทึบ (สมัยก่อนสูบบุหรี่ได้ และยุคนั้นทั้งชายและหญิงนิยมสูบบุหรี่) การที่มีควันเป็นส่วนประกอบของภาพทำให้ นีล ตัดสินใจเลือกใช้แฟลชที่เมื่อยิงกระทบกับควันสีขาวแล้ว จะทำให้ควันบุหรี่กลุ่มนั้นซึ่งเดิมทีทำให้ภาพดูมัวและไม่ชัด กลายเป็นควันสีฟ้า (ศัพท์ทางเทคนิคเรียกว่าแสงแบบ Blue Haze) ราวกับการเซ็ตฉากในสตูดิโอนั่นเอง 

เหนือสิ่งอื่นใด นีล พูดเสมอว่า การตามถ่าย อาลี คือสิ่งที่เขาตั้งใจ และรู้ว่าคนคนนี้จะต้องสร้างภาพถ่ายที่วิเศษแตกต่างจากที่เขาเคยทำมาทั้งชีวิต ดังคำที่เขาบอกว่า “คนที่พิเศษ มักจะทำให้ภาพถ่ายของพวกเขาเป็นสิ่งพิเศษเสมอ” 

นีล พูดแบบถ่อมตัว เพราะเขาเชื่อว่ามันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ เดิมทีภาพถ่าย อาลี สะใจตอนยืนคร่อม ลิสตัน ไม่ได้ถูกยกย่องมากนักในช่วงปี 1965 ภาพ ๆ นี้ไมได้ขึ้นปกนิตสารอย่าง Sports Illustrated และไปปรากฎในหน้าที่ 4 แทน เพียงแต่เวลาที่ผ่านไปทำให้ภาพนี้ ยิ่งใหญ่ขึ้นอย่างหลีกเหลี่ยงไม่ได้ … ต้นเหตุก็เพราะสิ่งที่ มูฮัมหมัด อาลี ทำนั่นเอง

อาลี ไม่ใช่แชมป์โลก แต่เป็นแชมป์มหาชน เขาคือ แบล็ค ซูเปอร์แมน คือคนที่กล้าท้าทายกฎหมายและกองทัพสหรัฐอเมริกา คนที่นั่งเครื่องบินไปเพื่อคุยกับ ซัดดัม ฮุสเซน และเป็นคนที่ทำให้โลกของมวยรุ่นเฮฟวี่เวตสยบแทบเท้า … เมื่อเวลาผ่านไป เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้น และภาพถ่ายที่บอกเล่าช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ของ มูฮัมหมัด อาลี จึงตามมา 

แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น นีล ลายเฟอร์ ก็สมควรจะเป็นคนที่ได้รับเครดิตอยู่ดี การพาตัวเองไปอยู่ในจุดที่ถูกที่ควร การเลือกตามติด อาลี ตั้งแต่วันที่เขายังเป็น แคสเซียส เคลย์ จนรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น การเตรียมอุปกรณ์ที่พร้อมมาจากบ้าน และการเดาเหตุการณ์ด้วยการเรียนรู้ว่า หาก อาลี ขึ้นชก สิ่งใดจะเกิดขึ้น … ถ้าไม่มี นีล ลายเฟอร์ ไม่มีทางที่โลกจะได้เห็นภาพถ่ายกีฬาที่สมบูรณ์แบบที่สุดเช่นนี้ 


Photo : davidyarrow.photography

“ผมไม่รู้จะบอกกับตากล้องรุ่นหลังยังไงนะ แต่ในวงการนี้การแข่งขันสูงขึ้นมาก โทรทัศน์เข้ามาแทนที่และถ่ายทอดอารมณ์ร่วมได้ดี แต่คุณจะทำภาพต้นฉบับในแบบของคุณให้มันเด่นและแตกต่างออกมาได้ยังไง ? นั่นคือสิ่งที่คุณต้องหาคำตอบเอง”

“จำเอาไว้ คุณไมได้แข่งกับใครเลย แต่คุณแข่งกับโทรทัศน์และการถ่ายทอดสดที่ทำให้คนดูเห็นมันทันทีในจอภาพ จงตั้งใจ และถ่ายทอดความหมายที่แท้จริงผ่านการลั่นชัตเตอร์ของคุณออกมาให้ได้” นีล ให้สัมภาษณ์กับ NPR 

สิ่งที่ นีล บอก คือสิ่งที่คือสัจธรรมไม่เคยเปลี่ยนสำหรับอาชีพช่างภาพไม่ว่าแขนงไหน เขาลั่นชัตเตอร์ภาพประวัติศาสตร์นั้นได้ เพราะทำการบ้านมาดี และรู้ดีตั้งแต่แรกว่าเขาต้องการสื่ออะไรจากภาพถ่ายของเขา … แรกเริ่มผู้คนอาจจะคิดว่า “อื้ม ก็สวยดี” แต่เมื่อเวลาผ่านไป และ อาลี กลายเป็นยอดคน สิ่งที่ นีล ต้องการจะสื่อก็ชัดขึ้นโดยไม่ต้องตีความ วินาทีแรกที่ทุกคนเห็นภาพถ่ายนั้นไม่ว่าใครก็ต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “เท่ชะมัด” เท่านี้การทำหน้าที่ช่างภาพมือฉมังของ นีล ลายเฟอร์ ก็ประสบความสำเร็จแล้ว