“แสตมป์ แฟร์เท็กซ์” เผยยังไม่พอใจในผลงานตัวเอง แม้จะเอาชนะ “จูลี เมซาบาร์บา” ในรอบรองชนะเลิศ เวิลด์ กรังด์ปรีซ์ รุ่นอะตอมหญิง ในศึก ONE: NEXTGEN เมื่อ 29 ต.ค. ที่ผ่านมา โดยรู้สึกเสียดายไม่สามารถน็อกคู่ต่อสู้ได้อย่างที่ตั้งใจ ขอแก้ตัวใหม่รอบหน้าต้องโหดกว่านี้
แม้จะรู้สึกภูมิใจและประทับใจที่คว้าชัยและได้เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศโดยจะไปเจอนักปล้ำขวัญใจแดนโรตี “ริตู โฟกาต” แต่ แสตมป์ ยังคงขัดใจกับผลงานในไฟต์ที่ผ่านมา โดยมองว่าตนไม่เด็ดขาดพอที่จะปิดเกมได้ด้วยการน็อกเอาต์ตามที่วางแผนมาแต่แรก
“สำหรับผลงานในไฟต์ที่เพิ่งผ่านมานี้ หนูให้คะแนนตัวเองแค่ 50 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นค่ะ เพราะหนูตั้งใจว่าจะน็อกให้ได้ ไฟต์นี้จะต้องได้เลือดแน่ๆ แต่ จูลี เขาก็อึดพอสมควร เหมือนเขาจะยอมแล้วแต่เขาก็ฮึดสู้กลับมาได้ทำให้เราเสียโอกาสไป”
“หนูรู้สึกว่าไฟต์นี้ตัวเองยังดุไม่พอ คือเราก็ไม่อยากผลีผลาม ไม่อยากให้เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเพราะความประมาทอย่างที่เคยเจอกับ อาลีโอนา มาก่อน จริงๆเราก็สามารถเดินบุกได้ แต่ด้วยความกังวลใจว่าจะพลาดก็เลยต้องใช้ความคิดและระมัดระวังตัว ซึ่งหลายคนก็อาจมองว่าเราไม่ดุอย่างที่เคย”
แต่สิ่งหนึ่งที่ แสตมป์ รู้สึกพอใจมากที่สุดคือการได้ลบคำสบประมาทของ จูลี ที่เคยให้สัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ว่าทักษะการต่อสู้ของเธอนั้นเหนือกว่าและจะเอาชนะ แสตมป์ ได้
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ แสตมป์ มองไกลถึงคู่ต่อสู้รายต่อไปอย่าง ริตู ที่ขึ้นชื่อเรื่องเกมนอนอันแข็งแกร่งโดยเธอเตรียมแผนไว้รับมือแต่เนิ่นๆแล้วด้วย
“ริตู มีเกมนอนที่แข็งแกร่ง การจะต้านเขาได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับความเร็วของเราในการป้องกันการเทกดาวน์ จากที่ดูเขาสู้กับ เจเนลีน คิดว่าการเอาเกมยืนไปสู้ไม่น่าจะเอาอยู่ค่ะ แต่หนูจะยังใช้มวยไทยในการรักษาระยะ และเพิ่มความรวดเร็วในการป้องกันการเทกดาวน์และโต้กลับค่ะ”
ไม่ว่า แสตมป์ จะต้องเผชิญหน้ากับงานยากสักเท่าไหร่ เธอยังคงไม่ละทิ้งเป้าหมายเดิมที่จะสร้างประวัติศาสตร์การเป็นแชมป์โลก ONE สามประเภทกีฬา เพื่อพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าทุกความฝันเป็นไปได้หากไม่ละความพยายาม
“เข็มขัดเวิลด์ กรังด์ปรีซ์ มีความสำคัญกับหนูมากๆค่ะ เพราะมันจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า หนูสามารถทำได้ หนูเริ่มมาจากมวยไทย และถ้าหนูสามารถได้แชมป์ MMA ในครั้งนี้ ก็ถือว่าครั้งหนึ่งในชีวิตหนูมีส่วนได้สร้างประวัติศาสตร์ให้แก่ชาวไทยทั้งประเทศ ก็อยากให้ทุกคนเป็นกำลังใจให้ด้วยค่ะ”